ทั่วโลกประจักษ์ซึ้งถึงพิษภัยของ "ฝนเหลือง" (Agent Orange) เป็นอย่างดีในยุคสงครามเวียดนามระหว่างปี
2504-2518 เพราะเป็นสารกำจัดวัชพืชชนิดรุนแรงที่ทหารอเมริกันใช้ฉีดพ่นเหนือผืนป่าอันกว้างใหญ่ของเวียดนามใต้
เพื่อทำลายป่าที่หลบซ่อนของทหารเวียดกง โดยมีการประมาณกันว่า
อเมริกันใช้ฝนเหลืองร้อยละ 60 หรือ 42 ล้านลิตร จากจำนวนสารเคมี 72
ล้านลิตรที่ใช้ไปในสงครามครั้งนั้น แม้ว่าเหตุการณ์จะผ่านไปแล้ว 20
ปีเศษ แต่ผลกระทบของฝนเหลืองต่อระบบนิเวศ สภาพแวดล้อม และสุขภาพของคนในเวียดนามใต้
ยังคงปรากฎให้เห็นชัดเจน และนี่เองกระมังที่ทำให้กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงวิทยาศาสตร์
พยายามกลบเกลื่อนเรื่องสารเคมีที่ขุดพบในสนามบินบ่อฝ้ายเมื่อวันที่ 19 มีนาคม
2542 ว่าไม่ใช่ "ฝนเหลือง" ทั้ง ๆ ยังไม่มีการตรวจหาไดออกซินซึ่งเป็นสารประกอบสำคัญของฝนเหลือง
เพราะประเทศไทยไม่มีเครื่องมือที่ตรวจสอบสารนี้ได้ และมีผู้ที่เคยทำงานให้กับทหารอเมริกันในช่วงปี
2506-2507 ออกมายืนยันว่า ถังสารเคมีที่ขุดพบเป็นฝนเหลืองที่สหรัฐอเมริกาทิ้งไว้หลังจากเข้ามาทดลองในประเทศไทย
ซึ่งสหรัฐฯ เองก็ไม่ได้ปฏิเสธ
ปฏิกิริยาของกรมควบคุมมลพิษในเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่า สำหรับประเทศไทยแล้ว
ฝนเหลืองยังน่ากลัวน้อยกว่าวิธีการทำงานแบบไม่โปร่งใสของหน่วยงานแห่งนี้เสียอีก
ฝนเหลืองคืออะไร
ฝนเหลืองมาจากชื่อเล่นภาษาอังกฤษว่า Agent Orange เป็นสารผสมจากสารเคมี 2
ตัวคือ 2,4-D และ 2,4,5-T ซึ่งเป็นสารกำจัดวัชพืชในกลุ่ม chlorophenoxy herbicide
แม้สารเคมีในกลุ่มนี้จะยังมีอีกหลายตัวด้วยกัน แต่ตัวที่มีพิษร้ายแรงที่สุดตัวหนึ่ง
คือ 2,4,5-T นี่เอง
สารในกลุ่ม chlorophenoxy herbicide เป็นสารที่ดูดซึมผ่านผิวหนังได้
และจะทำให้เกิดอาการทางประสาทตามมา ทำให้เกิดผื่นคัน ทำลายเนื้อเยื่อตับและไต
และยังเป็นสารก่อมะเร็ง (carsinogen) เคยมีรายงานการทดลองในสัตว์พบว่า
สารตัวนี้ทำให้เกิดมะเร็งและยังมีผลกระทบไปถึงลูกในรุ่นต่อไป ทำให้ทารกพิการแต่กำเนิด
แม้ได้รับในปริมาณความเข้มข้นที่ต่ำ สำหรับสาร 2,4-D มีชื่อเต็มว่า
2,4-dichlorophenoxy acetic acid องค์การอนามัยโลกจัดให้อยู่ในกลุ่มของสารอันตรายปานกลาง
(Solid Class II, Moderately Hazardous๗ จัดเป็นสารกำจัดวัชพืชและสารที่ทำให้ใบไม้ร่วง
มีฤทธิ์ฉับพลันต่อคนคือ ถ้าหากสูดดมเข้าไปจะทำให้ทางเดินหายใจ คือ คอ
จมูก และปอด ปวดแสบปวดร้อน ถ้าสัมผัสที่ตาจะทำให้ตาแดง
แสบตา ถูกผิวหนังจะทำให้ผิวด่าง และหากสัมผัสมาก ๆ จะทำให้เกิดอาการชักกระตุกของประสาทรอบนอก
ส่วนสาร 2,4,5-trichloronoxy acetic acid
องค์การอนามัยโลกจัดให้อยู่ในกลุ่มของสารอันตรายปานกลางและมีฤทธิ์ต่อพืชเช่นเดียวกับ
2,4-D จากการทดลองในหนูทดลองพบว่า สาร 2,4,5-T มีผลกระทบต่อระบบสืบพันธุ์คือทำให้ฮอร์โมน
testosterone ลดลงและทำให้ผู้ชายเป็นหมันได้
ประเด็นสำคัญคือ ทั้งในสาร 2,4-D และ 2,4,5-T มีสารประกอบสำคัญที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลกคือ
2,3,7,8-tetrachlorodibenzo-p-dioxin (TCDD) หรือที่รู้จักกันในชื่อ dioxin
ลำพังสาร 2,4-D และ 2,4,5-T เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะถูกขับออกในไม่ช้าและย่อยสลายในไม่นาน
แต่ตัวที่อันตรายในที่สุดในฝนเหลืองคือ ไดออกซิน (dioxin) ซึ่งเป็นกลุ่มสารเคมี
non-biodegradable คือมีช่วงอายุนานหรือย่อยสลายยากในธรรมชาติ และ dioxin
นี่เองที่ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและชีวิตของคนเวียดนามใต้อย่างมาก
พิษฝนเหลืองในเวียดนามใต้
ดังกล่าวแล้วว่า สหรัฐฯ ใช้ฝนเหลืองเป็นสัดส่วนถึงประมาณ 42 ล้านลิตร
ภายใต้แผนปฏิบัติการ "Operation Ranch Hand" ในสงครามเวียดนาม
และจากปริมาณฝนเหลืองดังกล่าวทำให้มีการประมาณการกันว่า มีสาร "ไดออกซิน"
ทั้งหมดประมาณ 170 กิโลกรัมปนอยู่ในสภาพแวดล้อมทางภาคใต้ของเวียดนามระหว่างในช่วงสงคราม
(สาร 2,4,5-T และ 2,4-D ในส่วนผสมของฝนเหลืองจะมีออกซินอยู่ประมาณ 3.83 กรัม/ลูกบาศก์เมตร)
ผลกระทบจากไดออกซินหลังสงครามต่อระบบนิเวศ สภาพแวดล้อมและสุขภาพของคนยังปรากฎชัดเจนกระทั่งทุกวันนี้
แม้เหตุการณ์จะผ่านไปแล้ว 20 ปีเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบที่เกิดกับสุขภาพมนุษย์ยังคงมีให้เห็นในรุ่นลูกรุ่นหลานของชาวเวียดนามที่ได้รับหรือสัมผัสฝนเหลืองในช่วงสงคราม
ธนาคารโลกเคยจัดทำรายงานเกี่ยวกับกรณีเวียดนามและได้ประมาณขอบเขตพื้นที่และป่า
ที่ได้รับความเสียหายจากฝนเหลืองว่า มีประมาณกว้างประมาณ 625,000 ไร่ ถึง
12,500,000 ไร่ โดยรายงานของธนาคารโลกระบุชัดเจนว่า การสูญเสียทรัพยากรป่าไม้
ความย่อยยับของความหลากหลายทางชีวภาพและความเสียหายที่เกิดขึ้นกับพื้นที่เกษตรกรรมเป็นผลมาจากปฏิบัติการฝนเหลืองของสหรัฐฯ
และด้วยเหตุที่สารไดออกซินจัดอยู่ในกลุ่มสารเคมีที่ไม่ย่อยสลายหรือย่อยสลายยากในธรรมชาติ
สารเคมีกลุ่มนี้เมื่อปนเปื้อนอยู่ในสิ่งแวดล้อมแล้วจะสามารถเข้าไปสะสมอยู่ในห่วงโซ่อาหารได้
และนี่เป็นสาเหตุสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้คนเวียดนามใต้ที่รับประทานอาหารซึ่งมีไดออกซินปนเปื้อนอยู่มีสารพิษตัวนี้สะสมอยู่ในร่างกาย
และจากการทดลองจากตัวอย่างอาหารและสัตว์ป่าจากตลาดต่าง ๆ ทางภาคใต้ของเวียดนามระหว่างปี
2528-2530 ได้ผลยืนยันว่ามีสารไดออกซินสะสมในปริมาณสูง
นักวิทยาศาสตร์ทั้งชาวเวียดนามและชาวต่างชาติเคยทำการศึกษาทางระบาดวิทยาหลายครั้งด้วยกันเพื่อพิสูจน์ว่า
การสัมผัสฝนเหลืองมีความเชื่อมโยงสำคัญกับโรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับคน
เช่น ทำให้เป็นโรคมะเร็งตับ เป็นโรคมะเร็งผิวหนังบางชนิด
เช่น soft tissue sarcoma และ chonocarcinoma โดยเฉพาะที่เกิดขึ้นกับประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่ได้รับฝนเหลืองในช่วงสงคราม
รวมทั้งทหารผ่านศึกจากเวียดนามเหนือที่ได้รับสารตัวนี้เข้าไป นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบว่า
ผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ได้รับฝนเหลืองหรือในครอบครัวของทหารผ่านศึกมีอัตราความผิดปกติที่เกิดขึ้นในระหว่างการตั้งครรภ์
เช่น ทำให้แท้งลูก ทารกตายในท้อง ทารกพิการแต่กำเนิด
เป็นต้น สูงกว่าประชาชนในพื้นที่อื่น
ผลพวงของฝนเหลืองในยุคสงครามยังตกไปถึงน้ำนมในมารดาที่ตั้งครรภ์ด้วย
จากการศึกษาตัวอย่างน้ำนมมารดาที่รวบรวมมาจากสตรีที่อาศัยอยู่ในภาคใต้ของเวียดนามพบว่า
แม้ระดับของสารไดออกซินที่สะสมในน้ำนมมารดาลดลงไปจากระดับ 1450 พีพีที (parts
per trilion) ในช่วงทศวรรษ 1970 เป็น 10-20 พีพีทีในปี 1994 (พ.ศ.
2537) แต่ก็ยังคงสูงกว่าที่ตรวจพบในน้ำนมมารดาของสตรีเวียดนามที่อยู่ทางภาคเหนือ
ซึ่งไม่ได้รับฝนเหลือง และสูงกว่าน้ำนมมารดาของสตรีในประเทศอุตสาหกรรมต่าง
ๆ ประมาณ 3-8 เท่า
มีการศึกษาอีกชุดหนึ่งที่ชี้ว่า ตัวอย่างเลือดทั้งหมดที่เก็บจากเวียดนามใต้นั้นมีระดับไดออกซินสูงกว่าตัวอย่างเลือดที่เก็บจากคนในเวียดนามเหนือ
การศึกษาชุดนี้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างระดับไดออกซินเจนในเลือดของผู้ใหญ่ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ศึกษาเป็นเวลานานกับปริมาณของฝนเหลืองที่มีการฉีดพ่นออกไปในช่วงสงคราม
องค์การอนามัยโลกจัดประเภทของสารไดออกซินไว้ในกลุ่มสารก่อมะเร็งในมนุษย์
ส่วนทางด้านสำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมสหรัฐอเมริกา (Environmental Protection
Agency-EPA) นั้น ระบุภายหลังจากที่มีการประเมินถึงพิษของสารไดออกซินครั้งล่าสุดแล้วว่า
ไดออกซินมีอันตรายร้ายแรงกว่าดีดีทีถึง 200,000 เท่า ดังนั้นจึงเป็นเครื่องยืนยันได้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า
ฝนเหลืองในสมัยสงครามอินโดจีน มีผลกระทบร้ายแรงต่อทหารเวียดนามและทหารอเมริกันที่ได้รับสารตัวนี้เข้าไป
พิษฝนเหลืองที่บ่อฝ้ายไม่ร้ายเท่าพิษของหน่วยงานรัฐ
"จากการสอบถามคนเฒ่าคนแก่ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านบ่อฝ้าย ทำให้รู้ว่าสารเคมีดังกล่าวทหารอเมริกันนำมาใช้ในสมัยสงครามเวียดนาม
โดยนำบรรทุกเครื่องบินแล้วไปโปรยในป่าที่กองกำลังเวียดกงหลบซ่อนอยู่
เมื่อใช้เหลือก็นำมาฝังกลบไว้กลางสนามบินบ่อฝ้าย" นาวาโทประเสริฐ
น้ำฟ้า ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกการบินพลเรือนหัวหิน ออกมาให้สัมภาษณ์
หลังจากถังบรรจุสารเคมีที่ฝังอยู่ใต้ดินในระดับความลึกประมาณ 1.5 เมตรถูกรถแบ็กโฮขุดกระทบ
จนเกิดการรั่วไหลของสารเคมีในสนามบินบ่อฝ้าย อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
เมื่อวันที่ 19 มี.ค. ที่ผ่านมา
ผลของการขุดค้นถังบรรจุสารเคมีในเวลาต่อมาได้พบภาชนะเหล็กสภาพผุกร่อนขนาด
200 ลิตร ซึ่งไม่มีสารเคมีหลงเหลืออยู่อีก 1 ถัง และถังบรรจุสารเคมีจำนวน
5 ถัง ขนาดบรรจุ 15 ลิตร มีข้อความและหมายเลขกำกับว่า "Delaware
Barrel PAT NO 2842282, Tri-sure, American lange, NY" คำว่า Delaware
ซึ่งเป็นชื่อเมืองในประเทศสหรัฐอเมริกานี่เอง ที่ทำให้เกิดข้อสงสัยตั้งแต่เบื้องต้นว่า
ถังบรรจุสารเคมีดังกล่าวน่าจะเป็นของสหรัฐฯ ก่อนที่จะมีคนไทยหลายคนทยอยออกมาให้ข้อมูลพร้อมรูปถ่ายว่าสหรัฐฯ
เคยเข้ามาทดลองสารเคมีที่เรียกว่าฝนเหลืองบริเวณนี้ เพื่อนำไปใช้ในสงครามเวียดนาม
นายเอนก กลิ่นน้อย อายุ 53 ปี ราษฎรบ้านบ่อฝ้าย เปิดเผยว่า
เมื่อปี 2506 สมัยที่มีอายุ 17 ปี เคยรับจ้างทหารอเมริกันผสมสารเคมีและได้มีการนำไปโปรยในป่าใหญ่หลังค่ายธนะรัชต์
อ.ปราณบุรี ซึ่งมีสภาพภูมิประเทศเหมือนเหมือนเวียดนาม โดยทดลองอยู่เกือบ
1 ปี
"สารเคมีที่นำมาผสมมี
3 ชนิด เป็นผงสีขาว ๆ และดำมีกลิ่นเหม็นมาก เวลากวนต้องใส่ถุงมือและหน้ากาก
ช่วงทำงานผมก็มีอาการแพ้สารเคมีเหมือนกัน และหลังจากผสมเสร็จจะนำขึ้นบรรทุกเครื่องบิน
สมัยนั้นเรียกว่าโครงการใบไม้ร่วง ซึ่งเมื่อนำสารเคมีผสมเสร็จแล้วไปโปรย
ต้นไม้จะตายอย่างรวดเร็ว" นายเอนกกล่าว (กรุงเทพธุรกิจ 5, 8 เม.ย.
42)
ด้านเรือโทเมธี เพ็ญสาดแสง วัย 72 ปี ซึ่งเป็นอดีตหัวหน้ากองศูนย์ฝึกการบินพลเรือนในช่วงปี
2508 ก็บอกในทำนองเดียวกันว่า ช่วงทดลอง ทหารอเมริกันและคนไทยที่ไปรับจ้างทำงานเรียกสารตัวนี้ว่าฝนเหลือง
"สมัยนั้นคนไทยที่ทำงานอยู่คิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย
นี่ล่วงเลยมา 30 ปีแล้ว สารพิษยังไม่สลายตัว กรมควบคุมมลพิษบอกความจริงกับชาวหัวหินว่าสารเคมีที่ขุดพบเป็นสารเคมีตัวใดและเร่งรีบแก้ไขปัญหาโดยเร่งด่วน"
เรือโทเมธีกล่าว
นอกจากนี้ทักษ์ เดชะปัญญา ประธานสภาเทศบาลตำบลหัวหิน ซึ่งเคยเป็นล่ามและช่างภาพให้กับผู้เชี่ยวชาญสหรัฐฯ
ก็ได้ออกมาระบุว่า การทดลองสารเคมีในสนามบินบ่อฝ้ายดังกล่าว ใช้ชื่อว่า
"defoliate" หรือแผนใบไม้ร่วง ท่ามกลางความเคลือบแคลงสงสัยของประชาชนว่าสารเคมีที่ขุดพบอาจเป็นส่วนประกอบของฝนเหลือง
กรมควบคุมมลพิษก็ได้เข้าไปตรวจสอบพื้นที่ในระหว่างวันที่ 23 มี.ค.-4 เม.ย.
2542 พร้อมทั้งเก็บตัวอย่างดินและน้ำที่ปนเปื้อนมาวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการของบริษัทเอกชนช่วยตรวจสอบด้วย
หลังจากตรวจสอบสารปนเปื้อนเพียง 2 วัน นวล เภทยาภัชร ผู้อำนวยการกองวัตถุมีพิษ
กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก็ออกมาเปิดเผยผลการวิเคราะห์ว่า
พบไดเมทโธเอต (Dimethoate) และไตรอะโซฟอส (Triazophos) ในปริมาณความเข้มข้นที่ต่ำมาก
พร้อมทั้งยืนยันอย่างชัดแจ้งว่า จากการตรวจสอบทั้งในระดับอนุภาคของตัวสาร
ระดับโมเลกุล และทุกโครงสร้างทางเคมีแล้วไม่พบทั้ง 2,4-D และ 2,4,5-T
หรือแม้แต่ไดออกซิน สารดังกล่าวจึงไม่ใช่ฝนเหลือง
สำหรับผลการตรวจในห้องปฏิบัติการของกรมควบคุมมลพิษและบริษัทเอกชน ซึ่งก็คือบริษัทเจนโก้นั้น
ศิริธัญญ์ ไพโรจน์บริบูรณ์ รองปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ
ออกมาเปิดเผยภายหลังว่า ไม่พบ 2,4,5-T และ 2,4-D รวมถึงไดออกซินเช่นเดียวกัน
โดยสารประกอบหลักที่กรมควบคุมมลพิษตรวจพบคือ 2,6-bis-4-methylphenol หรือ
Butylated Hydroxytoluene ซึ่งใช้เป็นสารป้องกันการเกิดออกซิเดชั่นในน้ำมันเชื้อเพลิง
ส่วนห้องปฏิบัติเอกชนตรวจพบตัวทำละลายอินทรีย์ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม
ซึ่งเป็นกลุ่มสารที่ก่อให้เกิดกลิ่นเหมือนรบกวน ประกอบไปด้วยเบนซีน
โทลูอีน เอทธิลเบนซีนและไซลีน ซึ่งเหล่านี้ใช้ประโยชน์ในการล้างคราบไขมันและเป็นเชื้อเพลิง
อย่างไรก็ดี กลุ่มศึกษาและรณรงค์มลภาวะอุตสาหกรรมคณะกรรมการรณรงค์ป้องกันภัยสารพิษและกลุ่มกรีนพีชนานาชาติ
โครงการเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ได้ออกมาเรียกร้องให้กรมควบคุมมลพิษตั้งคณะกรรมการอิสระขึ้นมาตรวจสอบสารเคมีดังกล่าว
รวมทั้งตรวจสอบให้ทราบถึงบริษัทผู้ผลิต เพื่อยืนยันลักษณะของสารเคมีและให้ประเทศที่เป็นเจ้าของออกมาแสดงความรับผิดชอบ
นอกจากนี้ยังได้ทำจดหมายถึงสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย
ให้เปิดเผยข้อมูลทางการทหารที่เคยมีการทดลองสารพิษในประเทศไทยสมัยสงครามเวียดนามด้วย
รวมทั้งได้ติดต่อกับศูนย์ข้อมูลสารพิษในสหรัฐฯ ที่ชื่อมัลติเนาชั่นแนล
รีสอร์ชเซ็นเตอร์ เพื่อขอข้อมูลสารพิษเพิ่มเติม นอกจากนี้ยังขอให้ศูนย์ดังกล่าวส่งจดหมายไปยังกระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ
ให้เปิดเผยข้อมูลปฏิบัติการทางทหารในการทดลองสารพิษในประเทศไทยระหว่างสงครามเวียดนาม
"เราไม่เชื่อว่าการตรวจมีประสิทธิภาพพอ เพราะปกติการตรวจหาสารพิษเหล่านี้
ต้องมีการตรวจยืนยันกันหลายรอบ นอกจากนี้การเก็บตัวอย่างดินก็ไม่รู้ว่าครอบคลุมบริเวณปนเปื้อนทั้งหมดหรือเปล่า
อีกอย่างหนึ่งคือการตรวจหาไดออกซินนั้น ตรวจหาได้ยากมากในประเทศไทยเองก็ยังไม่มีเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพพอ
และต้องใช้งบประมาณสูง" เพ็ญโฉม ตั้ง จากกลุ่มศึกษาและรณรงค์มลภาวะอุตสาหกรรม
กล่าวถึงเหตุผลที่ไม่สามารถยอมรับผลการตรวจของกรมควบคุมมลพิษได้
ในระหว่างที่ยังไม่มีการตรวจสอบที่ชัดเจนว่า สารเคมีที่พบเป็นของใครและเป็นสารอะไรกัน
คณะกรรมการเฉพาะกิจซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้ขึ้นมาดูแลเรื่องนี้ โดยมีนายศิริธัญญ์
เป็นประธาน ก็พยายามที่จะให้บริษัทเจนโก้เข้าไปดำเนินการบำบัดสารเคมีที่สนามบินบ่อฝ้ายอย่างเร่งด่วน
เพื่อยุติปัญหาและเรื่องราวที่เกิดขึ้นโดยคาดว่าจะใช้จ่ายในเบื้องต้นถึง 30
ล้านบาท
อย่างไรก็ดี คณะรัฐมนตรีไม่อนุมัติงบประมาณดังกล่าวให้แม้จะมีการลดงบประมาณเหลือ
16 ล้านบาทในเวลาต่อมา เพราะกรมควบคุมมลพิษไม่สามารถระบุพื้นที่ที่ปนเปื้อนสารเคมีได้อย่างชัดเจน
"ทำไมกรมควบคุมมลพิษไม่พยายามสืบหาต้นตอของสารเคมีนี้ทั้งที่เห็นอยู่ว่ามีอันตราย
เป็นสารเคมีที่จัดเก็บผิดวิธี แม้แต่กรมเองก็ยังตอบไม่ได้ว่าสารนี้คืออะไร"
เพ็ญโฉมกล่าวพร้อมกับเสริมว่า หากไม่สามารถสืบหาต้นตอของสารเคมีได้ก็จะไม่สามารถจัดการได้ถูกวิธีเพราะสารเคมีทุกชนิดล้วนมีความเป็นพิษต่างกัน
การจัดการจัดเก็บจึงต้องต่างกันไปด้วย มิหนำซ้ำยังตั้งข้อสงสัยด้วยว่า
ถ้าสารเคมีดังกล่าวไม่มีอันตรายจริงตามที่หลายฝ่ายออกมามายืนยัน ทำไมจึงต้องเสียงบประมาณจำนวนมากในการจัดการสารตกค้างเหล่านี้
(กรุงเทพธุรกิจ 12 เม.ย. 42)
ด้านสหรัฐฯ ซึ่งเก็บตัวเงียบตลอดเวลาที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นเจ้าของสารพิษ "ฝนเหลือง"
ที่มีการขุดพบ ในที่สุดเมื่อถูกก็ออกมายอมรับ โดยโฆษกประจำสถานทูตสหรัฐอเมริกา
ประจำประเทศไทยได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอพีเมื่อวันที่ 30 เม.ย.
ว่า กองทัพสหรัฐฯ ได้เข้ามาปฏิบัติการทดลองสารเคมีที่มีชื่อว่า
เอเยนต์ออเรนจ์ ในประเทศไทย โดยใช้ชื่อว่า Thailand Defoliation
Program หรือโครงการปฏิบัติการทดลองใบไม้ร่วงในไทย ช่วงระหว่างเดือน
เม.ย. 2507-มิ.ย. 2508 บริเวณค่ายทหาร อ.ปราณบุรี
จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งไม่ไกลจากสนามบินบ่อฝ้ายนัก โดยรัฐบาล
จอมพล ถนอม กิตติขจร รับทราบอย่างเป็นทางการ
ไม่เพียงเท่านั้น ในเอกสารที่สถานทูตสหรัฐฯ ส่งให้ประเทศไทยในเวลาต่อมายังมีการระบุด้วยว่า
นอกจากฝนเหลืองแล้ว สหรัฐฯ ยังมีการทดลองสารเคมีตัวอื่น ๆ ด้วยเพื่อเปรียบเทียบกับสารเอเยนต์ออเรนจ์
เช่น สารสีม่วง สารสีชมพู เป็นต้น โดยในการทดลองครั้งมีคนไทยร่วมเป็นคณะกรรมการดำเนินการอยู่ด้วย
2 คน คือ นายเต็ม สมิธินันท์ นักวิชาการกรมป่าไม้
ปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว และนายสมจิตร พงค์พงัน
ส่วนถังสารเคมีที่พบในสนามบินบ่อฝ้ายนั้น โฆษกประจำสถานทูตสหรัฐฯ
คนเดิมเลี่ยงที่จะพูดถึงชนิดและแหล่งที่มา โดยกล่าวเพียงว่า จากการพิสูจน์ของทางการไทยพบว่า
ไม่ได้บรรจุสารที่เป็นส่วนที่ประกอบของเอเยนต์ออเรนจ์
ในเวลาต่อมานายสมจิตรได้ออกมาเปิดเผยว่า หลังจากที่มีการโปรยสารเคมีในช่วงของการวิจัย
ปี 2507 กระทรวงกลาโหม สหรัฐฯ ได้ทำการติดตามผลระยะยาวว่า
จะมีผลต่อมนุษย์และสัตว์รวมทั้งป่าไม้อย่างไรซึ่งจากการพบปะและเยี่ยมเยียนครอบครัวคนงานที่ถูกว่าจ้างให้เก็บตัวอย่างหลังการโปรยสารเคมีแต่ละครั้ง
และครอบครัวคนงานที่อยู่ใกล้บริเวณที่โปรยสารเคมีพบว่า เด็กชายคนหนึ่งที่เป็นบุตรของคนงานต้องเป็นเด็กพิการ
คือ มีหน้าอกยุบแฟบไม่สมประกอบ ซึ่งจากการสอบถามพบว่าเด็กชายดังกล่าวอยู่ในระหว่างที่มีการโปรยสารเคมีในบริเวณนั้น
(มติชน, กรุงเทพธุรกิจ 12 พ.ค. 42)
หลังจากการออกมายอมรับของสหรัฐฯ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ โดยกรมควบคุมมลพิษ
จึงได้ทำการเก็บตัวอย่างดินที่ปนเปื้อนสารเคมีในสนามบินบ่อฝ้ายมาทำการตรวจสอบใหม่
ร่วมกับเจ้าหน้าที่ที่จากสำนักงานคุ้มครองมลพิษของสหรัฐฯ ตัวอย่างดินที่เก็บคราวนี้อยู่ที่ระดับความลึก
2-5 เมตรซึ่งเป็นชั้นดินดาน และได้ส่งไปตรวจสอบที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดา
เพราะจริง ๆ แล้วประเทศไทยไม่สามารถตรวจสอบสารไดออกซินได้ ซึ่งสุวิทย์
คุณกิตติ รมว. กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ออกมายอมรับในที่สุดว่า
ที่ผ่านมาก็ยังไม่ได้ตรวจสอบสารตัวนี้ เพราะไม่มีเครื่องมือเพียงพอ
ด้านศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ก็ตามคำถามนี้ได้เพียงว่า
"ที่ผ่านมากรมควบคุมมลพิษเก็บตัวอย่างดินและน้ำที่ถูกสารเคมีปนเปื้อนไปตรวจสอบและนำไปใช้วิธีการตรวจสอบแบบเทียบเคียงแล้วไม่พบว่ามีการปนเปื้อนของไดออกซินแต่อย่างใด
ในภาวะเร่งด่วนที่ต้องรายงานให้ประชาชนทราบ จึงต้องใช้วิธีการเช่นนี้
และยืนยันว่าผลการตรวจสอบที่ออกมาเป็นไปตามมาตรฐานการวัดค่าทุกอย่าง" (มติชน
5 เม.ย. 42)
&n