ปรอทในก๊าซธรรมชาติ
โพสเมื่อ : 21 ส.ค. 54
ปรอทในก๊าซธรรมชาติ

โรงกลั่นน้ำมัน        เมื่อพูดถึงปรอท  ทุกคนจะนึกถึงปรอทที่อยู่ในเทอร์โมมิเตอร์ที่ใช้วัดอุณหภูมิ หรือบาโรมิเตอร์ที่ใช้วัดความดันบรรยากาศ หรือมาโนมิเตอร์ที่ใช้วัดความดันเลือด  ปรอทเป็นธาตุที่มีคุณอนันต์  ในขณะเดียวกันก็มีโทษมหันต์  ปรอทเป็นสารที่มีพิษร้ายแรงมาก  สามารถดูดซึมผ่านระบบหายใจ  ระบบทางเดินอาหาร และซึมผ่านทางผิวหนังถ้ามีแผลหรือรอยแตกและสะสมพิษเอาไว้  เนื่องจากปรอทเป็นธาตุที่ระเหยได้และสามารถอิ่มตัวในอากาศ  จึงเป็นสารที่มีอันตรายมาก  ได้มีมาตรฐานกำหนดปริมาณสารปรอทในอากาศหายใจ  ซึ่งกำหนดโดย Envirnmental Protection Agency (EPA) ของประเทศสหรัฐอเมริกาให้อากาศมีสารปรอทได้ไม่เกิน 100 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร  สารประกอบปรอทที่มีพิษมากที่สุดได้แก่  เมทธิลเมอร์คิวรี่  เมอร์คิวริกคลอไรด์  ซึ่งสามารถระเหิดได้และมีพิษกัดกร่อนสูง  ก๊าซธรรมชาติบางแหล่งในโลกพบว่ามีไอของปรอท และสารประกอบเจือปนมาด้วย  เช่น  ที่โปแลนด์  รัสเซีย  อัลจีเรีย และอินโดนีเซีย  เป็นต้น  โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติในแหล่งอรุณ  ประเทศอินโดนีเซีย  พบว่ามีปริมาณสูงถึง 300 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร

         ปรอทที่พบในก๊าซธรรมชาติของไทย  ตรวจพบครั้งแรกในสภาพของเหลวค่อนข้างบริสุทธิ์  เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม  2528  บริเวณอ่าวไทย  ที่แหล่งปลาทอง และพบที่แหล่งสตูล  เมื่อวันที่ 3 กันยายน  2528  โดยเก็บได้ที่ Dew Point Control Unit  ส่วนแหล่งเอราวัณ  พบปรอทในสภาพเป็นของเหลว  เมื่อเดือนสิงหาคม  2531  โดยเก็บได้ที่ Sample Line ของหัวสูบ (Wellhead)  ก๊าซธรรมชาติที่มีปริมาณปรอทเจือปน  จะมีผลต่อระบบท่อในโรงแยกก๊าซเพราะว่าปรอทมีคุณสมบัติที่จะรวมตัวกับโลหะได้เกือบทุกชนิดซึ่งเรียกว่า Amalgum ปฏิกิริยานี้จะทำให้โครงสร้างของโลหะผสมของท่อในโรงแยกก๊าซเสียหาย  ดังนั้นการวิเคราะห์ปรอทในก๊าซธรรมชาติ  จึงเป็นสิ่งสำคัญมากเพราะปรอทมีผลทั้งต่อระบบท่ออุปกรณ์ และต่อสภาวะแวดล้อม

        ปรอทที่พบในก๊าซธรรมชาติ  จะอยู่ในรูปของไอปรอท และปะปนมากับก๊าซธรรมชาติจากแหล่งกักเก็บปิโตรเลียม  เมื่อขึ้นสู่ปากหลุมหรือผ่าน Dew Point Control Unit  (DPCU คือ จุดลดอุณหภูมิของก๊าซ  เพื่อแยกของเหลวออกจากก๊าซ  อุณหภูมิที่ใช้ต้องคำนวณโดยอาศัย Equilibrium ของก๊าซ)  ปรอทจะแยกตัวออก  ไอปรอทที่พบในก๊าซธรรมชาติมีอยู่ 2 รูป คือ อยู่ในรูปของธาตุปรอท และสารประกอบของปรอท  โดยสารประกอบของปรอทที่พบในก๊าซธรรมชาติส่วนมาก  ได้แก่  dimethylmercury (ไดเมทธิลเมอร์คิวรี) และ diethylmercury (ไดเอทธิลเมอร์คิวรี)

        การเกิดปรอทในก๊าซธรรมชาติ  จากการศึกษาโดย Arne Jernelov  พบว่าปรอทเป็นธาตุที่หนัก  เนื่องจากมีค่าความถ่วงจำเพาะประมาณ 13 และไม่ละลายในน้ำ  ดังนั้นในการตกตะกอนซึ่งมักจะสะสมในบริเวณใกล้ปากแม่น้ำหรือปากอ่าว  ปรอทจะสามารถรวมเป็นสารประกอบ (Form Complex)  ได้อย่างแข็งแรงกับสารอินทรีย์และสารอนินทรีย์  จากนั้นจึงตกตะกอนรวมกับตะกอนอื่น ๆ  โดยปรอทจะถูกออกซิไดส์ไปเป็น Bivalent lon (Hg+2)  และ Hg+2 จะถูก methylate ไปเป็น  methylmercury และ dimethylmercury   จะอยู่ในน้ำ และสะสมในปลา  สาหร่าย  ตลอดจนสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ที่อาศัยอยู่ในน้ำ  ในขณะที่ dimethylmercury มีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไปกับก๊าซออกสู่บรรยากาศภายนอก  ภายใต้สภาวะที่เป็นกรด และมีแสงอุลตราไวโอเลต  dimethylmercury  จะไม่คงตัวและถูกเปลี่ยนไปเป็น methylmercury  ซึ่งอาจตกตะกอนหรือถูกเปลี่ยนไปเป็นธาตุปรอท  ขบวนการต่าง ๆ เหล่านี้จะเกิดขึ้นได้  ขึ้นอยู่กับขบวนการทางเคมี  ชีวะและฟิสิกส์ที่เข้ามาเกี่ยวข้อง

        ในสหรัฐอเมริการายงานว่าสารประกอบไฮโดรคาร์บอน  จะเกิดร่วมกับปรอท  ที่เมือง Mt.idlo  ในมลรัฐแคลิฟอร์เนียพบว่าปรอทเกิดร่วมกับน้ำมันดิบและก๊าซ  ที่แหล่งปิโตรเลียม Cymric ใน Kern County  มลรัฐแคลิฟอร์เนีย  พบธาตุปรอทและสารประกอบของปรอท  ในน้ำมันดิบ  ก๊าซ และ Saline Oilfield Water  และพบว่าก๊าซธรรมชาติที่แยกออกจากน้ำมันดิบจะอิ่มตัวด้วยไอปรอท
 
        ปัจจุบันการพบปรอทในก๊าซธรรมชาติไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่  เพราะพบปรอทในก๊าซธรรมชาติหลายแหล่งทั่วโลก และมีปริมาณปรอทสูง  ดังนั้นถ้าหากมีการกำกับดูแลปริมาณปรอทในก๊าซให้เป็นไปตามมาตรฐาน และมี Mercury Absorber ติดตั้งก่อนเข้าโรงแยกก๊าซ  รวมทั้งการกำจัดปรอทในน้ำซึ่งแยกออกจากก๊าซธรรมชาติในขบวนการผลิต  ปัญหาสิ่งแวดล้อมซึ่งเกิดขึ้นจากกิจการปิโตรเลียม  จะลดน้อยลงมาก



ที่มา : รวบรวมจาก มารยาท วีรวิกรม , วารสารสิ่งแวดล้อม