
วิกฤติพิษวงจรปรอท

แม้ สารปรอทกว่าครึ่งหนึ่งที่ปนเปื้อนอยู่ในบรรยากาศจะเกิดขึ้นตามธรรมชาติ เช่นมาจากการระเบิดของภูเขาไฟ แต่อีกกว่าครึ่งมาจากกิจกรรมของมนุษย์
เมื่อ ไม่นานนี้ สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) ร่วมกับมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University) ชี้ถึงปัญหาสารปรอทปนเปื้อนในบรรยากาศว่า กว่าครึ่งหนึ่งมาจากกิจกรรมของมนุษย์ โดยจำแนกเป็น
65 เปอร์เซ็นต์ มาจากการเผาไหม้ของโรงไฟฟ้าถ่านหิน
11 เปอร์เซ็นต์ มาจากกระบวนการผลิตทอง โดยแหล่งปลดปล่อยปรอทที่ใหญ่ที่สุด 3 แห่งคือ เหมืองทองในสหรัฐอเมริกา
6.8 เปอร์เซ็นต์ มาจากการถลุงโลหะ
6.4 เปอร์เซ็นต์ มาจากกระบวนการผลิตซีเมนต์
3.0 เปอร์เซ็นต์ มาจากกระบวนการกำจัดของเสีย ทั้งขยะอันตรายและขยะจากเทศบาล รวมถึงการเผาศพและเผาตะกอนน้ำเสีย
3.0 เปอร์เซ็นต์ มาจากกระบวนการผลิตโซดาไฟ
และที่เหลืออีกราวๆ 4.0 เปอร์เซ็นต์ มาจากแหล่งกำเนิดอื่นๆ
นัก วิจัยจากทั้งสองสถาบันเปิดเผยด้วยว่า ในแต่ละปีมีเด็กยุโรปที่เกิดท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่มีสารปรอทปนเปื้อนใน ระดับที่ไม่ปลอดภัยกว่า 2 ล้านคน ซึ่งมีผลกระทบต่อพัฒนาการทางสมอง และทำให้ไอคิวลดต่ำลง คิดเป็นมูลค่าความเสียหายด้านเศรษฐกิจประมาณ 9,000 ล้านยูโรต่อปี
โนเอล ซีลิน นักวิจัยของสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ กล่าวว่า การประเมินระดับการปนเปื้อนสารปรอทส่วนใหญ่ต่ำกว่าความรุนแรงของสถานการณ์ จริง เพราะมักไม่ได้พิจารณาถึงปริมาณรวมทั้งหมดของสารปรอทที่ตกค้างในสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะปรากฏเป็นปัญหาในอนาคตด้วย
ทั้ง นี้ เมื่อโรงไฟฟ้าถ่านหินและแหล่งกำเนิดอื่นๆ ปล่อยปรอทสู่บรรยากาศ ปรอทเหล่านี้ก็จะถูกฝนชะล้างลงสู่ผืนดินและมหาสมุทร หลังจากนั้นก็จะสะสมในห่วงโซ่อาหาร และตกค้างในระบบนิเวศยาวนานนับหลายสิบปี หรืออาจนับหลายร้อยปี จากการพยากรณ์ปัญหาสารปรอทในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนเหนือ ซึ่งเป็นแหล่งทำประมงที่มีความสำคัญระดับโลก คาดว่าในปี 2050 การปนเปื้อนสารปรอทในมหาสมุทรจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าจากเมื่อปี 1995 โดยปรอทบางส่วนก็จะถูกปล่อยกลับขึ้นสู่บรรยากาศ
นัก วิจัยสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ไม่เพียงแต่สารปรอทจากวงจรที่จะถูกปล่อยกลับขึ้นมา แต่ความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ก็จะเติมสารปรอทใหม่ๆ ในบรรยากาศเพิ่มขึ้นอีกหากไม่มีการบังคับใช้กฎหมายควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษ อย่างเข้มงวด
ที่มา http://www.greenworld.or.th/greenworld/foreign/2087
